ชลบุรี เป็นดินแดนที่มีผู้คนมาอาศัยมาตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์
ได้มีการขุดค้นทางโบราณคดีที่ตำบลโคกพนมดี อำเภอ พนัสนิคม ได้พบร่องรอยของชุมชนโบราณก่อนสมัยประวัติศาสตร์
โคกพนมดี เป็นเชลล์มาวด์ที่ใหญ่โตแห่งหนึ่ง ซึ่งยังไม่เคยพบใน ประเทศทางเอเซียอาคเนย์อื่น ๆ
จากการศึกษาโครงกระดูกมุนษย์และโบราณวัตถุที่พบ เช่น
เครื่องมือหินขัด เครื่องปั้นดินเผาแบบ
เชือกทาบ รวมทั้งเครื่องประดับที่ทำด้วยเปลือกหอยและหินมีค่า
แสดงว่าเป็นชุมชนที่มีความเจริญอยู่ในระดับยุคหินใหม่ การค้นพบ แห่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ที่โคกพนมดีนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าบริเวณจังหวัดชลบุรี เป็นดินแดนที่มีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ยุคหิน
ใหม่แล้ว ส่วนชุมขนที่พัฒนาเป็นบ้านเมืองสำคัญในยุคแรกของประวัติศาสตร์ในเขตจังหวัดชลบุรี ได้แก่ เมืองพระรถ เมืองพญาเร่ และ เมืองศรีพโล
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากการสำรวจในช่วง ปี
พ.ศ.๒๕๑๖ – พ.ศ.๒๕๒๘ ในพื้นที่อำเภอพนัสนิคม อำเภอพานทอง อำเภอบ่อทอง
และอำเภอเมือง ฯ
พบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็่นดินแดนที่มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป
เป็นชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ ถึงยุคประวัติศาสตร์ นับแต่เขาชะอางห้ายอดในแหล่งโบราณคดีกลุ่มเขาชะอาง อำเภอบ่อทอง
ชุมชนโคกพนบดี โคกพุทรา อำเภอพนัสนิคม ชุมชนโคกระกา โคกกะเหรี่ยง อำเภอพานทอง
และชุมชนเนินสำโรง อำเภอเมือง ฯ
โคกพนบดี เป็นเนินดินขนาดใหญ่
ลักษณะคล้ายเกาะที่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่ม มีรูปร่างค่อนข้างกลม
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๓๐ เมตร มีพื้นที่ประมาณ ๒๘ ไร่
จุดสูงสุดจากพื้นที่โดยรอบประมาณ ๑๒ เมตร อยู่ในเขตตำบลท่าข้ามอำเภอพนัสนิคม
ผลการศึกษาพบว่า
โคกพนบดีเป็นที่ตั้งชุมชนโบราณที่สามารถสร้างเครื่องมือหิน (ขวานหินขัด หินลับ
หินบด ค้อนหิน หินกรวดสำหรับขัดผิว ภาชนะและกำไลหิน)
เครื่องมือที่ทำจากกระดูกสัตว์เช่น ฉมวก เครื่องมือที่ทำจากหอยเช่น มีด สิ่ว
เครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอย และภาชนะดินเผาแบบเชือกทาบ เป็นชุมชนที่อพยพ
และเปลี่ยนแปลงมาจากสังคมแบบดั้งเดิม
ซึ่งมักอาศัยอยู่ในที่สูงดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และแสวงหาอาหารจากธรรมชาติ
ต่อมาอพยพลงมาอยู่ที่โคกพนบดี
ซึ่งในครั้งนั้นเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งจากป่าและทะเล
มีผู้เสนอข้อคิดเห็นว่าเนินดินแห่งนี้เป็น shell
Mound สมัยก่อนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเซียอาคเนย์
ต่อมาผู้คนเหล่านั้นก็เริ่มพัฒนาการดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกแบบเริ่มแรก
ควบคู่กันไปกับการแสวงหาอาหารจากทะเล และล่าสัตว์ขนาดเล็กมีผู้ให้ความเห็นว่า
การตั้งถิ่นฐานที่โคกพนบดีนี้น่าจะมีสองสมัยคือ สมัยแรก มีอายุประมาณ ๘,๐๐๐ – ๕,๐๐๐
ปีมาแล้ว ดำรงชีพด้วยทรัพยากรจากทะเลเป็นสำคัญ (พบเปลือกหอย ก้างปลา กระดองเต่า
และก้ามปู จำนวนมาก) สมัยที่สอง มีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ชุมชนน่าจะขยายตัวใหญ่ขึ้น
เพราะได้พบภาชนะดินเผาเป็นจำนวนมาก เริ่มปลูกข้าว (พบเมล็ดข้าวที่เป็นถ่าน)
โคกระทา อยู่ที่บ้านโคกระทา
ตำบลนาประดู่ อำเภอพานทอง ลักษณะเป็นเนินดินรูปร่างค่อนข้างยาว
ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ – ทิศตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนสูงสุดของเนินอยู่ทางตอนเหนือสูงกว่าพื้นที่โดยรอบประมาณ ๖ เมตร
ทางตอนใต้ของโคกระทามีลำน้ำเก่าไหลผ่าน เรียกว่า คลองสายบัว
ไหลไปบรรจบคลองบางนาที่ไหลไปบรรจบแม่น้ำบางชะกง
จากการศึกษา
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ ด้วยวิธีขุดตรวจทางโบราณคดี ได้พบโครงกระดูกมนุษย์ห้าโครง
และสิ่งของที่ใส่ให้กับศพเช่น เครื่องประดับที่ทำด้วยสำริด ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน
กำไลเปลือกหอย ฯลฯ นอกจากนั้นยังพบเครื่องใช้จำพวกภาชนะดินเผา ลูกกระดุมดินเผา
เบี้ยดินเผา หินดุ ถ้วยสำริด แหวนสำริด
ชิ้นส่วนกำไลสำริดจากหลักฐานที่พบสันนิษฐานว่า
ชุมชนโบราณบ้านโคกระทาเป็นชุมชนสมัยก่อนประวัติศาตร์ตอนปลาย (ยุคสำริด)
ขนาดใหญ่ที่มีการติดต่อกับชุมชนร่วมสมัยอื่น ๆ ในภาคกลางของไทยและอาจมีความสัมพันธ์กับชุมชนอื่น
ๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
โคกกะเหรี่ยง หรือ โคกฝรั่ง อยู่ในเขตตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง
เป็นเนินดินรูปกลมขนาดใหญ่สูงจากพื้นที่โดยรอบประมาณ ๕ เมตร
ก่อนที่กลุ่มคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก จะเข้ามาจับจองอยู่ถึงปัจจุบัน
เคยเป็นที่อยู่ของชาวกะเหรี่ยง
จากการสำรวจ
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ ได้พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ
มีการตกแต่งผิวด้วยลายเชือกทาบ รูปแบบภาชนะส่วนใหญ่ มีรูปทรงคล้ายบาตรพระ
เศษกระเบื้องดินเผาเนื้อหยาบเผาด้วยอุณหภูมิสูง พบเพียงสามชิ้นเป็นชนิดเคลือบเขียว
ไม่เคลือบหนึ่งชิ้น นอกจากนั้นยังพบกระดูกสัตว์ และเปลือกหอยหลายชนิด
จากหลักฐานที่พบสันนิษฐานว่า
เป็นชุมชนขนาดใหญ่ อาจร่วมสมัยกับชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่โคกพนบดี และโคกระทา
มีอายุประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว
เนินสำโรง เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยประวัติศาสตร์
(สมัยทวารวดี) ตั้งอยู่ที่มาบสามเกลียว ตำบลหัวร่อ อำเภอเมือง ฯ
เป็นเนินดินขนาดเล็ก อยู่กลางพื้นนาสูงจากพื้นที่โดยรอบประมาณ ๒ เมตร
จากการสำรวจ
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ พบโบราณวัตถุกระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะตอนกลางเนิน ได้แก่
เศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ ตกแต่งผิวภาชนะด้วยลายเชือกทาบ
เศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง เผาด้วยอุณหภูมิสูงชนิดไม่เคลือบ ผิวสีน้ำตาลเข้ม
ตกแต่งผิวด้วยลายขีด เศษภาชนะดินเผา เครื่องถ้วยชนิดเคลือบ มีสีผิวต่าง ๆ เช่น
เคลือบน้ำตาลคล้ำ เคลือบเขียว และขาวขุ่น นอกจากนั้นยังพบอิฐขนาดต่าง ๆ
และเปลือกหอยแครง
จากการพบแหล่งโบราณคดีต่าง
ๆ ดังกล่าวแล้ว แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ในเขตอำเภอบ่อทอง อำเภอพนัสนิคม อำเภอพานทอง
จนถึงทางเหนือของอำเภอเมือง (ตำบลหัวร่อ)
ปัจจุบันเป็นพื้นที่มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาตร์ กลุ่มแรกอาศัยอยู่ตามถ้ำและเพิงผา
กลุ่มต่อมาตั้งถิ่นฐานอยู่ตามเนินดิน ที่ล้อมรอบด้วยป่าชายเลน หรือป่าโกงกาง
แล้วขยับลงมายังที่ราบ จากนั้นก็พัฒนาเป็นบ้านเมืองในสมัยประวัติศาสตร์
ยุคประวัติศาสตร์ก่อนสมัยสุโขทัย ชุมชนที่พัฒนาเป็นบ้านเป็นเมืองในยุคแรก
ๆ ของประวัติศาสตร์ในเขตจังหวัดชลบุรี ได้แก่ เมืองพระรถ
เมืองพญาเร่และ เมืองศรีพโล (ศรีพะโร)
เมืองพระรถ เป็นชุมชนเมืองโบราณ
อยู่ที่บ้านหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม อยู่ห่างจากตัวอำเภอพนัสนิคม
มาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ ๑ กิโลเมตร ปัจจุบันถนนฉะเชิงเทรา – พนัสนิคม
ตัดทับส่วนหนึ่งของกำแพงและคูเมืองด้านทิศตะวันออก
จากโบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบ
เชื่อว่าเมืองนี้เป็นเมืองในสมัยทวารวดี (ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖)
และเจริญสืบเนื่องมาจนถึงสมัยลพบุรี (ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘)
โบราณสถาน มีอยู่สองประเภทคือ
ร่องรอยผังเมืองและศาสนสถาน ผังเมืองพระรถเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๑,๕๕๐ x ๘๕๐ เมตร
กำแพงเมืองเป็นคันดินสองชั้นสูงจากพื้นดินประมาณสองศอกเศษ ห่างกันชั้นละห้าวา
คูเมืองกว้างประมาณสามศอก
ศาสนสถานที่พบคือ
เนินพระธาตุ ซึ่งอยู่ตอนหลังของตัวเมืองด้านตะวันตก เป็นเนินพระสถูปสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่
เป็นฐานสถูปแบบทวารวดี
ทางด้านเหนือของเนินพระธาตุมีเนินดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ตั้งอยู่ติดกับสระน้ำโบราณ ชาวบ้านเรียกว่า สระฆ้อง
บนเนินนี้มีหินปักอยู่ตามมุมทิศสำคัญ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นฐานโบสถ์หรือวิหาร
โบราณวัตถุ
ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา ทั้งชนิดเคลือบและไม่เคลือบกระจายอยู่ทั่วไป
ชิ้นส่วนของเทวรูปพระนารายณ์ สวมหมวกแขก พระพุทธรูปแบบทวารวดีปางนาคปรก หินบดยา
กังสดาลและแท่นพระพุทธรูปทำด้วยหินขนาดใหญ่
ส่วนโบราณวัตถุชิ้นเล็ก
ๆ ที่พบได้แก่ พระพุทธรูปสำริดแบบลพบุรี พระพุทธรูปศิลาแบบทวารวดี
เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนเหนือตัวพนัศบดี (พนัสบดี เป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของครุฑ
หงส์ และวัว คือมีปากเป็นครุฑ มีเขาเป็นวัว และมีปีกคล้ายหงส์
ซึ่งเป็นลักษณะที่รวมพาหนะของเทพเจ้าทั้งสามในศาสนาฮินดู) พระพุทธรูปองค์นี้ชาวบ้านพบที่คูเมืองด้านใต้
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกกันว่า พระพนัสบดี
เป็นสัญลักษณ์ของอำเภอพนัสนิคม
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ชลบุรีสมัยอยุธยาและธนบุรี ตามทำเนียบศักดินาหัวเมือง
พ.ศ.๑๙๑๙ ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงั่ว) เมืองชลบุรีมีฐานะเป็นเมืองจัตวา
ผู้รักษาเมืองมีฐานะเป็น ออกเมืองชลบุรีศรีมหาสมุทร ศักดินา ๒,๔๐๐ ไร่ ขึ้นประแดง อินทปัญญาซ้าย
ชลบุรียุคปรับปรุงประเทศ
จังหวัดชลบุรีเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเล
อยู่ใกล้กรุงเทพ ฯ อากาศดี
การเดินทางสะดวก เป็นที่รู้จักของชาวต่างประเทศที่เข้ามาอยู่เมืองไทย
จึงเป็นสถานที่ชาวตะวันตกนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศ
ในปี พ.ศ.๒๓๘๑ หมอบรัดเล มิชชันนารี
ชาวอเมริกันได้เข้ามาเผยแพร่คริสตศาสนาในกรุงเทพ ฯ ได้เดินทางมาเที่ยวทะเลแถบบางปลาสร้อย
อ่างศิลา แล้วขึ้นบกเดินทางต่อไปเขาเขียว ซึ่งอยู่ทางด้านหลังบางพระเข้าไป
หมอบรัดเลได้บันทึกการเดินทางครั้งนั้นว่าสนุกเพลิดเพลินมาก นอกจากชาวตะวันตกแล้ว
เจ้านายของไทยก็นิยมไปพักผ่อนตากอากาศชายทะเลและพักฟื้นจากการเจ็บป่วยที่จังหวัดชลบุรีด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น
ชลบุรียังเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าไม้กระยาเลย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงเกษตร
ได้ขอสัมปทานทำป่าไม้กระยาเลยที่ศรีราชา ตั้งบริษัทป่าไม้ศรีราชา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐
เป็นที่รู้จักกันในสมัยต่อมาว่า บริษัทศรีมหาราชา
งานประจำปีจังหวัดชลบุรี
ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐
ถัดลงมาทางทิศใต้ตามลำน้ำพานทองช่วงออกทะเลที่ปากน้ำบางปะกง
ในอดีตยังมีเมืองสำคัญอีกแห่งตั้งอยู่ชื่อ “เมืองศรีพโล” โดยเมื่อ 600 ปีก่อนในสมัยสุโขทัย
เมืองนี้มีฐานะเป็นเมืองท่าชายทะเลที่มั่งคั่ง เปิดรับเรือสำเภาจากจีน กัมพูชา
และเวียดนาม ให้มาจอดพักก่อนเดินทางต่อไปยังปากน้ำเจ้าพระยา
(เป็นที่น่าเสียดายว่ากำแพงเมืองศรีพโลได้ถูกทำลายไปหมดสิ้นจากการก่อสร้างถนนสุขุมวิท
จึงไม่เหลือร่องรอยทางโบราณคดีไว้ให้ศึกษาอีกต่อไป) ต่อมาในสมัยอยุธยา
เมืองศรีพโลก็ค่อยๆ หมดความสำคัญลง
อาจเพราะปากแม่น้ำตื้นเขินจากการพัดพาสะสมของตะกอนจำนวนมหาศาล
ประชาชนจึงย้ายถิ่นฐานลงมาสร้างเมืองใหม่ที่ “บางปลาสร้อย” ซึ่งก็คือ
“เมืองชลบุรี” ในปัจจุบัน (วัดใหญ่อินทารามในตัวเมืองชลบุรีปัจจุบัน
ยังปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังการค้าขายระหว่างคนไทย จีน และฝรั่ง
บ่งบอกถึงบรรยากาศการค้าขายอันคึกคักในอดีต)
ครั้นสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 3 พระอินทอาษา
ชาวเมืองเวียงจันทน์พาชาวลาวจำนวนหนึ่งมาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งถิ่นอาศัยอยู่ระหว่างเมืองชลบุรีและฉะเชิงเทรา
(บริเวณเมืองพนัสนิคมในปัจจุบัน)
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงได้รวบรวมเมืองเล็กๆ ต่างๆเข้าด้วยกันจนกลายเป็น “จังหวัดชลบุรี”
ดังเช่นทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น