วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ชลบุรี เป็นดินแดนที่มีผู้คนมาอาศัยมาตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์  ได้มีการขุดค้นทางโบราณคดีที่ตำบลโคกพนมดี  อำเภอ พนัสนิคม  ได้พบร่องรอยของชุมชนโบราณก่อนสมัยประวัติศาสตร์  โคกพนมดี เป็นเชลล์มาวด์ที่ใหญ่โตแห่งหนึ่ง  ซึ่งยังไม่เคยพบใน ประเทศทางเอเซียอาคเนย์อื่น ๆ จากการศึกษาโครงกระดูกมุนษย์และโบราณวัตถุที่พบ  เช่น  เครื่องมือหินขัด  เครื่องปั้นดินเผาแบบ เชือกทาบ  รวมทั้งเครื่องประดับที่ทำด้วยเปลือกหอยและหินมีค่า  แสดงว่าเป็นชุมชนที่มีความเจริญอยู่ในระดับยุคหินใหม่  การค้นพบ แห่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ที่โคกพนมดีนี้  ย่อมแสดงให้เห็นว่าบริเวณจังหวัดชลบุรี  เป็นดินแดนที่มีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ยุคหิน ใหม่แล้ว  ส่วนชุมขนที่พัฒนาเป็นบ้านเมืองสำคัญในยุคแรกของประวัติศาสตร์ในเขตจังหวัดชลบุรี ได้แก่  เมืองพระรถ  เมืองพญาเร่ และ เมืองศรีพโล
           ยุคก่อนประวัติศาสตร์  จากการสำรวจในช่วง ปี พ.ศ.๒๕๑๖ – พ.ศ.๒๕๒๘ ในพื้นที่อำเภอพนัสนิคม อำเภอพานทอง อำเภอบ่อทอง และอำเภอเมือง ฯ พบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็่นดินแดนที่มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เป็นชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ ถึงยุคประวัติศาสตร์ นับแต่เขาชะอางห้ายอดในแหล่งโบราณคดีกลุ่มเขาชะอาง อำเภอบ่อทอง ชุมชนโคกพนบดี โคกพุทรา อำเภอพนัสนิคม ชุมชนโคกระกา โคกกะเหรี่ยง อำเภอพานทอง และชุมชนเนินสำโรง อำเภอเมือง ฯ
            โคกพนบดี  เป็นเนินดินขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายเกาะที่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่ม มีรูปร่างค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๓๐ เมตร มีพื้นที่ประมาณ ๒๘ ไร่ จุดสูงสุดจากพื้นที่โดยรอบประมาณ ๑๒ เมตร อยู่ในเขตตำบลท่าข้ามอำเภอพนัสนิคม
ผลการศึกษาพบว่า โคกพนบดีเป็นที่ตั้งชุมชนโบราณที่สามารถสร้างเครื่องมือหิน (ขวานหินขัด หินลับ หินบด ค้อนหิน หินกรวดสำหรับขัดผิว ภาชนะและกำไลหิน) เครื่องมือที่ทำจากกระดูกสัตว์เช่น ฉมวก เครื่องมือที่ทำจากหอยเช่น มีด สิ่ว เครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอย และภาชนะดินเผาแบบเชือกทาบ เป็นชุมชนที่อพยพ และเปลี่ยนแปลงมาจากสังคมแบบดั้งเดิม ซึ่งมักอาศัยอยู่ในที่สูงดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และแสวงหาอาหารจากธรรมชาติ ต่อมาอพยพลงมาอยู่ที่โคกพนบดี ซึ่งในครั้งนั้นเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งจากป่าและทะเล มีผู้เสนอข้อคิดเห็นว่าเนินดินแห่งนี้เป็น shell Mound สมัยก่อนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเซียอาคเนย์ ต่อมาผู้คนเหล่านั้นก็เริ่มพัฒนาการดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกแบบเริ่มแรก ควบคู่กันไปกับการแสวงหาอาหารจากทะเล และล่าสัตว์ขนาดเล็กมีผู้ให้ความเห็นว่า การตั้งถิ่นฐานที่โคกพนบดีนี้น่าจะมีสองสมัยคือ สมัยแรก มีอายุประมาณ ๘,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ดำรงชีพด้วยทรัพยากรจากทะเลเป็นสำคัญ (พบเปลือกหอย ก้างปลา กระดองเต่า และก้ามปู จำนวนมาก)  สมัยที่สอง มีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ชุมชนน่าจะขยายตัวใหญ่ขึ้น เพราะได้พบภาชนะดินเผาเป็นจำนวนมาก เริ่มปลูกข้าว (พบเมล็ดข้าวที่เป็นถ่าน)
โคกระทา  อยู่ที่บ้านโคกระทา ตำบลนาประดู่ อำเภอพานทอง ลักษณะเป็นเนินดินรูปร่างค่อนข้างยาว ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ – ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนสูงสุดของเนินอยู่ทางตอนเหนือสูงกว่าพื้นที่โดยรอบประมาณ ๖ เมตร ทางตอนใต้ของโคกระทามีลำน้ำเก่าไหลผ่าน เรียกว่า คลองสายบัว ไหลไปบรรจบคลองบางนาที่ไหลไปบรรจบแม่น้ำบางชะกง
จากการศึกษา เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ ด้วยวิธีขุดตรวจทางโบราณคดี ได้พบโครงกระดูกมนุษย์ห้าโครง และสิ่งของที่ใส่ให้กับศพเช่น เครื่องประดับที่ทำด้วยสำริด ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน กำไลเปลือกหอย ฯลฯ นอกจากนั้นยังพบเครื่องใช้จำพวกภาชนะดินเผา ลูกกระดุมดินเผา เบี้ยดินเผา หินดุ ถ้วยสำริด แหวนสำริด ชิ้นส่วนกำไลสำริดจากหลักฐานที่พบสันนิษฐานว่า ชุมชนโบราณบ้านโคกระทาเป็นชุมชนสมัยก่อนประวัติศาตร์ตอนปลาย (ยุคสำริด) ขนาดใหญ่ที่มีการติดต่อกับชุมชนร่วมสมัยอื่น ๆ ในภาคกลางของไทยและอาจมีความสัมพันธ์กับชุมชนอื่น ๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
โคกกะเหรี่ยง หรือ โคกฝรั่ง  อยู่ในเขตตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง เป็นเนินดินรูปกลมขนาดใหญ่สูงจากพื้นที่โดยรอบประมาณ ๕ เมตร ก่อนที่กลุ่มคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก จะเข้ามาจับจองอยู่ถึงปัจจุบัน เคยเป็นที่อยู่ของชาวกะเหรี่ยง
จากการสำรวจ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ ได้พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ มีการตกแต่งผิวด้วยลายเชือกทาบ รูปแบบภาชนะส่วนใหญ่ มีรูปทรงคล้ายบาตรพระ เศษกระเบื้องดินเผาเนื้อหยาบเผาด้วยอุณหภูมิสูง พบเพียงสามชิ้นเป็นชนิดเคลือบเขียว ไม่เคลือบหนึ่งชิ้น นอกจากนั้นยังพบกระดูกสัตว์ และเปลือกหอยหลายชนิด
จากหลักฐานที่พบสันนิษฐานว่า เป็นชุมชนขนาดใหญ่ อาจร่วมสมัยกับชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่โคกพนบดี และโคกระทา มีอายุประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว
เนินสำโรง  เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยประวัติศาสตร์ (สมัยทวารวดี) ตั้งอยู่ที่มาบสามเกลียว ตำบลหัวร่อ อำเภอเมือง ฯ เป็นเนินดินขนาดเล็ก อยู่กลางพื้นนาสูงจากพื้นที่โดยรอบประมาณ ๒ เมตร
จากการสำรวจ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ พบโบราณวัตถุกระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะตอนกลางเนิน ได้แก่ เศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ ตกแต่งผิวภาชนะด้วยลายเชือกทาบ เศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง เผาด้วยอุณหภูมิสูงชนิดไม่เคลือบ ผิวสีน้ำตาลเข้ม ตกแต่งผิวด้วยลายขีด เศษภาชนะดินเผา เครื่องถ้วยชนิดเคลือบ มีสีผิวต่าง ๆ เช่น เคลือบน้ำตาลคล้ำ เคลือบเขียว และขาวขุ่น นอกจากนั้นยังพบอิฐขนาดต่าง ๆ และเปลือกหอยแครง
จากการพบแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ในเขตอำเภอบ่อทอง อำเภอพนัสนิคม อำเภอพานทอง จนถึงทางเหนือของอำเภอเมือง (ตำบลหัวร่อ) ปัจจุบันเป็นพื้นที่มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาตร์ กลุ่มแรกอาศัยอยู่ตามถ้ำและเพิงผา กลุ่มต่อมาตั้งถิ่นฐานอยู่ตามเนินดิน ที่ล้อมรอบด้วยป่าชายเลน หรือป่าโกงกาง แล้วขยับลงมายังที่ราบ จากนั้นก็พัฒนาเป็นบ้านเมืองในสมัยประวัติศาสตร์
ยุคประวัติศาสตร์ก่อนสมัยสุโขทัย  ชุมชนที่พัฒนาเป็นบ้านเป็นเมืองในยุคแรก ๆ ของประวัติศาสตร์ในเขตจังหวัดชลบุรี ได้แก่ เมืองพระรถ เมืองพญาเร่และ เมืองศรีพโล (ศรีพะโร)
เมืองพระรถ เป็นชุมชนเมืองโบราณ อยู่ที่บ้านหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม อยู่ห่างจากตัวอำเภอพนัสนิคม มาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ ๑ กิโลเมตร ปัจจุบันถนนฉะเชิงเทรา – พนัสนิคม ตัดทับส่วนหนึ่งของกำแพงและคูเมืองด้านทิศตะวันออก
จากโบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบ เชื่อว่าเมืองนี้เป็นเมืองในสมัยทวารวดี (ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖) และเจริญสืบเนื่องมาจนถึงสมัยลพบุรี (ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘)
โบราณสถาน  มีอยู่สองประเภทคือ ร่องรอยผังเมืองและศาสนสถาน ผังเมืองพระรถเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๑,๕๕๐ x ๘๕๐ เมตร กำแพงเมืองเป็นคันดินสองชั้นสูงจากพื้นดินประมาณสองศอกเศษ ห่างกันชั้นละห้าวา คูเมืองกว้างประมาณสามศอก
ศาสนสถานที่พบคือ เนินพระธาตุ ซึ่งอยู่ตอนหลังของตัวเมืองด้านตะวันตก เป็นเนินพระสถูปสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ เป็นฐานสถูปแบบทวารวดี
ทางด้านเหนือของเนินพระธาตุมีเนินดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งอยู่ติดกับสระน้ำโบราณ ชาวบ้านเรียกว่า สระฆ้อง บนเนินนี้มีหินปักอยู่ตามมุมทิศสำคัญ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นฐานโบสถ์หรือวิหาร
โบราณวัตถุ ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา ทั้งชนิดเคลือบและไม่เคลือบกระจายอยู่ทั่วไป ชิ้นส่วนของเทวรูปพระนารายณ์ สวมหมวกแขก พระพุทธรูปแบบทวารวดีปางนาคปรก หินบดยา กังสดาลและแท่นพระพุทธรูปทำด้วยหินขนาดใหญ่
ส่วนโบราณวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ที่พบได้แก่ พระพุทธรูปสำริดแบบลพบุรี พระพุทธรูปศิลาแบบทวารวดี เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนเหนือตัวพนัศบดี (พนัสบดี เป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของครุฑ หงส์ และวัว คือมีปากเป็นครุฑ มีเขาเป็นวัว และมีปีกคล้ายหงส์ ซึ่งเป็นลักษณะที่รวมพาหนะของเทพเจ้าทั้งสามในศาสนาฮินดู)  พระพุทธรูปองค์นี้ชาวบ้านพบที่คูเมืองด้านใต้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกกันว่า พระพนัสบดี เป็นสัญลักษณ์ของอำเภอพนัสนิคม
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ชลบุรีสมัยอยุธยาและธนบุรี  ตามทำเนียบศักดินาหัวเมือง พ.ศ.๑๙๑๙ ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงั่ว) เมืองชลบุรีมีฐานะเป็นเมืองจัตวา ผู้รักษาเมืองมีฐานะเป็น ออกเมืองชลบุรีศรีมหาสมุทร ศักดินา ๒,๔๐๐ ไร่ ขึ้นประแดง อินทปัญญาซ้าย
ชลบุรียุคปรับปรุงประเทศ
จังหวัดชลบุรีเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเล อยู่ใกล้กรุงเทพ ฯ  อากาศดี การเดินทางสะดวก เป็นที่รู้จักของชาวต่างประเทศที่เข้ามาอยู่เมืองไทย จึงเป็นสถานที่ชาวตะวันตกนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศ
ในปี พ.ศ.๒๓๘๑ หมอบรัดเล มิชชันนารี ชาวอเมริกันได้เข้ามาเผยแพร่คริสตศาสนาในกรุงเทพ ฯ  ได้เดินทางมาเที่ยวทะเลแถบบางปลาสร้อย อ่างศิลา แล้วขึ้นบกเดินทางต่อไปเขาเขียว ซึ่งอยู่ทางด้านหลังบางพระเข้าไป หมอบรัดเลได้บันทึกการเดินทางครั้งนั้นว่าสนุกเพลิดเพลินมาก นอกจากชาวตะวันตกแล้ว เจ้านายของไทยก็นิยมไปพักผ่อนตากอากาศชายทะเลและพักฟื้นจากการเจ็บป่วยที่จังหวัดชลบุรีด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น ชลบุรียังเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าไม้กระยาเลย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงเกษตร ได้ขอสัมปทานทำป่าไม้กระยาเลยที่ศรีราชา ตั้งบริษัทป่าไม้ศรีราชา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐ เป็นที่รู้จักกันในสมัยต่อมาว่า บริษัทศรีมหาราชา
งานประจำปีจังหวัดชลบุรี ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐
ถัดลงมาทางทิศใต้ตามลำน้ำพานทองช่วงออกทะเลที่ปากน้ำบางปะกง ในอดีตยังมีเมืองสำคัญอีกแห่งตั้งอยู่ชื่อ “เมืองศรีพโล” โดยเมื่อ 600 ปีก่อนในสมัยสุโขทัย เมืองนี้มีฐานะเป็นเมืองท่าชายทะเลที่มั่งคั่ง เปิดรับเรือสำเภาจากจีน กัมพูชา และเวียดนาม ให้มาจอดพักก่อนเดินทางต่อไปยังปากน้ำเจ้าพระยา (เป็นที่น่าเสียดายว่ากำแพงเมืองศรีพโลได้ถูกทำลายไปหมดสิ้นจากการก่อสร้างถนนสุขุมวิท จึงไม่เหลือร่องรอยทางโบราณคดีไว้ให้ศึกษาอีกต่อไป)  ต่อมาในสมัยอยุธยา เมืองศรีพโลก็ค่อยๆ หมดความสำคัญลง อาจเพราะปากแม่น้ำตื้นเขินจากการพัดพาสะสมของตะกอนจำนวนมหาศาล ประชาชนจึงย้ายถิ่นฐานลงมาสร้างเมืองใหม่ที่ “บางปลาสร้อย” ซึ่งก็คือ “เมืองชลบุรี” ในปัจจุบัน (วัดใหญ่อินทารามในตัวเมืองชลบุรีปัจจุบัน ยังปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังการค้าขายระหว่างคนไทย จีน และฝรั่ง บ่งบอกถึงบรรยากาศการค้าขายอันคึกคักในอดีต)
ครั้นสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระอินทอาษา ชาวเมืองเวียงจันทน์พาชาวลาวจำนวนหนึ่งมาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งถิ่นอาศัยอยู่ระหว่างเมืองชลบุรีและฉะเชิงเทรา (บริเวณเมืองพนัสนิคมในปัจจุบัน) ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงได้รวบรวมเมืองเล็กๆ ต่างๆเข้าด้วยกันจนกลายเป็น “จังหวัดชลบุรี” ดังเช่นทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น